วันอาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ประวัติผู้ออกเเบบคิตตี้



ประวัติผู้ออกแบบ


ยูโกะ ชิมิซุ นักออกแบบรุ่นแรกของคิตตีจนถึงปี 2010
ในปี 1962 ชินทาโร ซูจิ ผู้ก่อตั้งซานริโอ้ เริ่มขายรองเท้าแตะยางพิมพ์ลายดอกไม้[14] ซูจิสังเกตเห็นว่าสามารถเพิ่มผลกำไรให้มากขึ้น ด้วยการเพิ่มการออกแบบที่น่ารักบนรองเท้าแตะ จึงจ้างให้นักเขียนการ์ตูน การออกแบบตัวละครที่น่ารักสำหรับสินค้าของเขา[14] บริษัทได้ผลิตสินค้าโดยมีลายรูปตัวละครเพื่อเป็นของขวัญในโอกาสต่าง ๆ[15] เฮลโล โหลคิตตีได้รับการออกแบบโดย ยูโกะ ชิมิซุ และถูกบันทึกอยู่ในตัวละครหลักของซานริโอ้ ในต้นปี 1974 [6] ภาพของการปรากฏตัวครั้งแรกในรายการ “A vinyl coin purse” ในประเทศญี่ปุ่น เป็นภาพที่คิตตีนั่งอยู่ระหว่างขวดนมและชามปลาทอง[16] และปรากฏตัวครั้งแรกในประเทศสหรัฐอเมริกาในปี 1976[5]
บริษัทตัดสินใจที่จะสร้างให้เฮลโลคิตตีเกิดใประเทศอังกฤษ เพราะในช่วงเวลาที่คิตตีถูกสร้างขึ้นมา อะไรก็ตามที่มาจากต่างประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศอังกฤษให้ความรู้สึกทันสมัยมาก สำหรับคนญี่ปุ่น นอกจากนี้ ซานริโอ้ก็มีตัวละครอื่น ๆ ที่เกิดในสหรัฐอยู่แล้ว พวกเขาจึงต้องการสร้างให้คิตตีมีความแตกต่าง[7][17] ออกไป ชิมิซุ ได้ชื่อคิตตี จากนิยายชื่อมองผ่านกระจก ของ ลูอิส แครอล ที่อยู่ในตอนต้นของหนังสือ ที่อลิซเล่นกับแมวของเธอที่ชื่อ คิตตี[18] คำขวัญซานริโอ้ คือ "การสื่อสารในสังคม" และซูจิอยากชื่อของแมวที่จะสะท้อนให้เห็นถึงสิ่งนั้น ครั้งแรกที่เขาคิดว่า "ไฮ คิตตี" ก่อนที่จะเปลี่ยนมาใช้ "เฮลโล" ซึ่งสื่อถึงคำอวยพร[19] ได้ด้วยตัวแทนประชาสัมพันธ์ของบริษัทได้อธิบายว่าคิตตีไม่มีปากเพราะพวกเขาต้องการให้ผู้คนมีอารมณ์ร่วมไปกับตัวละครและมีความสุข หรือเศร้าร่วมไปกับคิตตี[7][20] อีกอย่างหนึ่งที่อธิบายได้ว่าทำไมคิตตีไม่มีปากคือการที่เธอ" พูดออกมาจากหัวใจ” คิตตีเป็นเหมือนกับทูตของซานริโอ้สู่ทั่วโลกและไม่ได้ยึดติดกับภาษา[17] ใดโดยเฉพาะ "บริษัทมองเห็นคิตตีเป็นสัญลักษณ์ของมิตรภาพและพวกเขาหวังว่าเธอจะส่งเสริมมิตรภาพระหว่างผู้คนทั่วโลก[7] มีบางคนให้ข้อสังเกต[โดยใคร?] ว่าเฮลโลคิตตีมีต้นกำเนิดมาจากแมวกวักของญี่ปุ่น มาเนกิ เนโกะ ซึ่งชื่อคิตตีเองก็มีที่มาจากแมวกวัก (มาเนกิ เนโกะ ภาษาญี่ปุ่น) ซึ่งหมายถึงการกวักมือเรียกแมวในภาษาอังกฤษ

ประวัติ

หลังจากที่เปิดตัวปี 1974 เฮลโลคิตตี ก็ขายดีในทันที และ ส่งผลให้ยอดขายรวมของซานริโอ้เพิ่มขึ้นถึงเจ็ดเท่าหลังจากที่เผชิญกับภาวะยอดขายตกต่ำในปี 1978[7][21] มีคอลเลคชั่นคิตตีที่ออกแบบแปลก ๆ ใหม่ ๆ รวางจำหน่ายสู่ท้องตลาดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสอดคล้องกับความเป็นไปในสังคมในปัจจุบัน ทั้งนี้ ยูโกะ ยามากูชิ ซึ่งเป็นนักออกแบบหลักของเฮลโลคิตตี ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันกล่าวว่า เธอได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบคิตตี รุ่นใหม่ ๆ จากแฟชั่น, ภาพยนตร์และโทรทัศน์[7][21]
ในช่วงแรกที่คิตตีเน้นการทำตลาดเฉพาะเด็กผู้หญิงเท่านั้น แต่ตั้งแต่ปี 1990 กลุ่มเป้าหมายสำหรับคิตตีได้ขยายออกไปยังกลุ่มวัยรุ่นและผู้ใหญ่ในฐานะที่เป็นแบรนด์ย้อนยุค[7][17] ทั้งนี้ซานริโอ้เริ่มมีการออกแบบผลิตภัณฑ์คิตตีสำหรับผู้ใหญ่มากขึ้น เช่นกระเป๋าและแล็ปท็อป [7][17][21] เพื่อตอบสนองลูกค้ากลุ่มนี้เป็นพิเศษ ในปี 1994-1996 มีการวางจำหน่าย เฮลโลคิตตี รุ่นคิตตี เฟซ ซึ่งเน้นการออกแบบสินค้าเพื่อตอบสนองลูกค้ากลุ่มเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น[7]

ซานริโอ้ กล่าวว่า ในปี 1999 มีคิตตีรุ่นใหม่ ๆ ออกวางจำหน่ายถึง 12,000 แบบต่อปี[19] ทั้งนี้ในปี 2008 สามารถทำรายได้กว่าหนึ่งร้อยล้านดอลล่าร์ ซึ่งมากถึงครึ่งหนึ่งของรายได้รวมของซานริโอ้ทั้งบริษัท ทั้งนี้คิตตีมีวางจำหน่ายมากกว่า 50,000 แบบในกว่า 60 ประเทศ[17]ทั่วโลก ตั้งแต่ปี 2007 เป็นต้นมา ด้วยแนวโน้มแฟชั่นในญี่ปุ่น ส่งผลให้บริษัทเริ่มใช้สีเข้ม ลดสีชมพู และใช้การออกแบบที่มีรูปแบบที่น่ารัก[21] น้อยลงในการออกแบบคิตตีรุ่นใหม่ ๆ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น