แต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1939 ทำให้ธุรกิจ ตุ๊กตาหมี ชะงักงันลงอีก แทนที่คนงานจะผลิตตุ๊กตา
ต้องไปผลิตยุทธปัจจัยสำหรับสงครามแทน
บางบริษัทปิดตัวเองลงและไม่เคยเปิดอีกเลย
ความเปลี่ยนแปลงหลังปี 1950
ขณะที่ผู้ผลิตเทดดี้แบร์ดั้งเดิมยังคงภูมิใจกับตุ๊กตาที่เย็บด้วยมือ
และเส้นใยจากธรรมชาติ แต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ผู้ผลิตเหล่านี้ถูก
ท้าทายด้วยความต้องการของลูกค้าที่ต้องการตุ๊กตาที่ซักได้
ตุ๊กตาที่ทำด้วยใยสังเคราะห์จึงเป็นที่นิยม ผู้ซื้อชอบแนวความคิดเรื่องตุ๊กตาซักได้
ตุ๊กตาหมี
หลังสงครามโลกครั้งที่สองจึงถูกทำด้วยผ้าไนลอนหรือผ้าอะครีลิกเป็นส่วนใหญ่
ตาทำด้วยพลาสติก และยัดตัวหมีด้วยฟองน้ำ
ความนิยมที่หวนคืน
น่าแปลกที่ผู้ทำให้ความนิยมเทดดี้แบร์กลับมาอีกครั้ง
หลังจากที่กลายเป็นสินค้าอุตสาหกรรมไปแล้ว กลับไม่ใช่เป็นผู้ผลิต
แต่เป็นนักแสดงละครโทรทัศน์ที่ชื่อปีเตอร์ บูลของอังกฤษ
ซึ่งเผยความรักที่เขามีต่อเทดดี้แบร์
และความเชื่อของเขาที่ว่าเทดดี้แบร์มีความสำคัญต่ออารมณ์ของผู้ใหญ่เช่นเดียวกัน
ภายหลังจากเขาได้รับจดหมายถึง 2,000
ฉบับแสดงความเห็นด้วยกับการที่เขาเปิดเผยความรู้สึกต่อสาธารณะ
ปีเตอร์รู้ว่าเขาไม่ได้รู้สึกเช่นนี้แต่เพียงลำพัง
แรงบันดาลใจจากจดหมายเหล่านั้นทำให้เขาเขียนหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่ง
เล่าประสบการณ์ของเทดดี้แบร์ที่มีอิทธิพลต่อชีวิตของเขา หนังสือชื่อว่า หมีกับฉัน
ซึ่งต่อมาเปลี่ยนเป็น “ เทดดี้แบร์บุ้ค ”
ปรากฏว่าหนังสือของเขาตรงกับความรู้สึกของคนอีกหลายพัน
ที่เชื่อว่าเทดดี้แบร์มีอิทธิพลต่ออารมณ์ของตนเช่นเดียวกัน ปีเตอร์
บูลสร้างกระแสความนิยมเทดดี้แบร์ให้กลับมาอีกครั้งโดยมิได้ตั้งใจ
แม้จะไม่ได้มากเท่ากับสมัยที่เป็นความนิยมในฐานะของเล่นเด็ก
แต่กลายเป็นความนิยมในฐานะของสะสมสำหรับผู้ใหญ่ เทดดี้แบร์ ในวันนี้จึง “
ไม่ใช่ของเล่น ” สำหรับเด็กอีกต่อไป
Jenni สูง 18 นิ้ว
ตุ๊กตาหมีผลิตในอังกฤษในยุคต้นๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น